โลกกลมๆ ใบนี้ได้จำแนกขนมมัฟฟินแบ่งออกเป็นสองชนิด คือ แบบอังกฤษและแบบอเมริกัน

ที่เรียกกันว่า มัฟฟินอังกฤษ นั้นทำบนกระทะก้นแบน เป็นขนมก้อนกลมขนาดเส้นฝ่าศูนย์กลางราว 3 นิ้ว และสูงราว 1 นิ้ว รับประทานกับเนยหรือแยม ขณะที่มัฟฟินแบบอเมริกันเป็น "Quick Bread" คือ ขนมปังที่ใช้เวลาทำไม่นานและมีวิธีการไม่ยุ่งยาก อบในพิมพ์มีถ้วยรองก้น (คล้ายกับคัพเค้กราวเป็นพี่น้อง) ในเนื้อมัฟฟินมีส่วนผสมอย่างเช่น ผลไม้หรือช็อกโกแลต ทั้งยังสามารถประดับและตกแต่งด้วยหน้าตาให้สวยงามน่ากินได้อีก มัฟฟินแบบอเมริกันจึงสามารถรับประทานได้โดยไม่ต้องทาเนยหรือแยม

มัฟฟินที่เราคุ้นเคยกันดีก็คือ แบบอเมริกัน ซึ่งทำจากส่วนผสมคือ แป้งสาลี น้ำตาล ผงฟู ไข่ไก่ นม เนย ฯลฯ โดยใส่ผลไม้สดผลไม้แห้ง หรือจะเป็นช็อกโกแลตต่างๆ ผสมลงไปในเนื้อ (บางคนมีสูตรมัฟฟินแบบคาว เช่น ผสมเบคอนลงไปด้วย) ส่วนผสมทั้งหมดนำมารวมกัน ก่อนตักใส่พิมพ์ซึ่งรองด้วยกระทงกระดาษ แล้วนำไปอบ ออกมาเป็นขนม "หน้าแตก" กรอบนอก นุ่มใน

การเดินทางของความอร่อย

จากถิ่นกำเนิดที่อังกฤษ มัฟฟินถูกนำไปเผยแพร่ให้รู้จักในอเมริกา มัฟฟินได้รับการพัฒนาและแนะนำว่าเป็น "โดนัตในรูปแบบที่แตกต่าง" ในช่วงทศวรรษ 1960 จากมัฟฟินอังกฤษก็พัฒนาเป็นมัฟฟินอเมริกัน จากนั้นร้านขนมและกาแฟต่างๆ จึงสร้างสรรค์ขนมชนิดนี้โดยการสอดไส้ต่างๆ ออกขายเป็นเรื่องราว

สูตรของมัฟฟินซึ่งเคยจำกัดอยู่ที่ส่วนผสมเป็นธัญพืช ถั่ว หรือผลไม้แห้งง่ายๆ ก็มีหลากหลายขึ้น ต่อมากระดาษรองและถ้วยมัฟฟินก็ถูกคิดค้นและผลิตออกมาขายเป็นเรื่องราว ส่วนกระทะธรรมดาก็ถูกแทนที่ด้วย "นอนสติก แพน" ซึ่งสามารถทำขนมออกมาได้หลากหลายรูปแบบและรูปทรง แต่ถึงอย่างนั้นมัฟฟินกลมๆ ก็ยังเป็นที่นิยมสูงสุดอยู่ดี

ทุกวันนี้มี 3 รัฐในสหรัฐอเมริกาที่มีมัฟฟินเป็นสัญลักษณ์ของตัวเอง อย่างมินนิโซตานั้นมีบลูเบอร์รีมัฟฟินเป็นขนมประจำรัฐ ในปี 1987 รัฐแมสซาชูเซตส์ก็เลือกมัฟฟินข้าวโพด ช่วง ค.ศ. 1987 นิวยอร์กถือว่า มัฟฟินแอปเปิลเป็นของหวานประจำตัว

เมื่อถึงปัจจุบันมีมัฟฟินซึ่งเหมาะสำหรับสาวๆ ที่ต้องระวังรูปร่างด้วยการเลือกใช้แป้ง ไขมัน และน้ำตาลชนิดไม่ทำให้อ้วน (มากขึ้น) รวมทั้งใช้เมล็ดธัญพืชและโยเกิร์ตมาเป็นส่วนผสม และในหลายช่วงเวลา มัฟฟินก็กลายมาเป็น "เทรนด์" ของแวดวงอาหาร

ทุกวันนี้มีมัฟฟินสำเร็จรูปอิมพอร์ตจากต่างประเทศ ซึ่งสามารถนำไปแช่แข็ง และนำออกจากตู้แช่มาอบให้ร้อน แล้วจึงได้มัฟฟินสดใหม่เหมือนเพิ่งออกจากเตาไว้รับประทานได้

ปัจจุบัน มัฟฟินยังคงได้รับความนิยมอยู่ ทั้งยังได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม "อาฟเตอร์นูน ที" ที่ซึ่งร้านชากาแฟทั่วโลกมีขาย ไม่ยกเว้นแม้ในเมืองไทยซึ่งมีมัฟฟินมากมายให้เลือกรับประทาน

ไม่ว่าจะเป็น มัฟฟินอัลมอนด์ แอปเปิล บานานา นัต บลูเบอร์รี คัปปูชิโน ช็อกโกแลต แครอต ลูกเกด ซินนามอน ข้าวโพด แครนเบอร์รี ไอริชคอฟฟี่ โอตมีล ส้ม สับปะรด ฟักทอง ราสพ์เบอร์รี สตรอเบอร์รี ซุคคินี ... มากมายชนิดที่ทำให้ความอร่อยของ มัฟฟิน นี้ไม่มีที่สิ้นสุด

เคล็ดลับความอร่อยของการรับประทานมัฟฟินคือ อุ่นให้ร้อนก่อนรับประทานกับเครื่องดื่มแก้วโปรด ไม่ว่าจะเป็นชา หรือกาแฟ อิ่มอร่อยได้ไม่ว่าจะเป็นมื้อเช้าหรือยามบ่าย

ยิ่งถ้าเป็น ... มัฟฟินในบรรยากาศดีๆ กับคนที่โปรดปราน ... นี่ไม่ต่างกับเป็นสวรรค์ เพราะมัฟฟินแท้ๆ